ทำไมตลาด…. มัก “ขึ้นก่อนข่าวดี” และ “ลงก่อนข่าวร้าย”

25 กรกฎาคม 2568

ทำไมตลาด…. มัก “ขึ้นก่อนข่าวดี” และ “ลงก่อนข่าวร้าย”

 

ทำความเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมตลาดที่สะท้อนก่อนข่าวจะมาถึง
 นักลงทุนจำนวนไม่น้อยคงเคยเจอกับสถานการณ์ที่ราคาหุ้นขยับขึ้นล่วงหน้า ก่อนที่ข่าวดีจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ หรือในทางกลับกัน ราคาหุ้นกลับปรับตัวลงแรงแบบงงๆ ก่อนที่ข่าวร้ายจะกลายเป็นกระแสหลักของสื่อมวลชนในภายหลัง
เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมโดยธรรมชาติของตลาดที่เคลื่อนไหวตามความคาดหวัง มากกว่าที่จะตอบสนองต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว
บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์เชิงลึกว่า ทำไมราคาตลาดจึง “นำหน้า” ข่าวอยู่เสมอ พร้อมข้อมูลเชิงจิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ และกรณีศึกษาจริงที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้
 
1. ตลาดขับเคลื่อนด้วย “ความคาดหวัง” ไม่ใช่เพียงข่าวสาร
-โดยพื้นฐาน ตลาดการเงินเป็นกลไกที่สะท้อนความเชื่อและการประเมินล่วงหน้า การตัดสินใจซื้อหรือขายของนักลงทุนอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขา “คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต” ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน
-Robert J. Shiller นักเศรษฐศาสตร์ โนเบลได้เสนอว่า ราคาหุ้นมีความผันผวนมากเกินกว่าที่จะอธิบายได้จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่า “พฤติกรรมของนักลงทุน” และ “ความเชื่อ” คือองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดการเคลื่อนไหวของราคา ("Do Stock Prices -------Move Too Much to Be Justified by Subsequent Changes in Dividends?", Robert J. Shiller, American Economics Review, 1981)
 
2. นักลงทุนบางกลุ่มอาจ “รู้ก่อน” และเคลื่อนไหวก่อนตลาดเสมอ
 -แม้ระบบตลาดทุนจะมุ่งเน้นความโปร่งใส แต่ในเชิงปฏิบัตินักลงทุนบางกลุ่ม เช่น กองทุนสถาบัน, Hedge Fund หรือการซื้อขายด้วยอัลกอริทึมความเร็วสูง (High-Frequency Trading) มักเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำกว่านักลงทุนรายย่อย
รายงานจาก Bloomberg ในปี 2014 ระบุว่าราคาสินทรัพย์หลายรายการเคลื่อนไหวไม่กี่วินาทีก่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ซึ่งบ่งชี้ว่าระบบเทรดอัตโนมัติอาจมีความสามารถในการดักจับข่าว หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสัญญาณได้ล่วงหน้าก่อนตลาดทั่วไป
-เมื่อการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจากผู้เล่นรายใหญ่ ราคาย่อมสะท้อนข่าวก่อนที่จะมีการเผยแพร่สู่สาธารณะจริง
 
3. เมื่อพฤติกรรมทางจิตวิทยามีบทบาทสำคัญ ข่าวดีจึงกลายเป็นจุดขาย
 -แม้ข่าวดีควรจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขึ้นของราคาตาม common sense แต่ในหลายกรณี  ข่าวดีกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขายทำกำไร นั่นก็เพราะนักลงทุนกลุ่มหนึ่งได้ “เข้าลงทุนไปก่อนข่าวดีจะออกแล้ว” พอข่าวจริงปรากฏ พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้ ในการขายหุ้นให้กับกลุ่มนักลงทุนที่เพิ่งเข้าซื้อในตลาด ตามหลังจากข่าวดี
 -Prospect Theory โดย Kahneman และ Tversky (1979) ระบุว่านักลงทุนมีแนวโน้มจะ “กลัวขาดทุน” มากกว่าที่จะยินดีกับกำไรในขนาดตัวเงินที่เท่ากัน หรือที่เรียกว่า “Loss Aversion” เช่น ได้เงิน 100 บาท รู้สึกดีนิดเดียว เสีย 100 บาทเสียใจมากกว่า
-พฤติกรรมรูปแบบนี้ส่งผลให้เกิด “Panic Sell” (การขายตกใจทันที) เมื่อมีสัญญาณลบเกิดขึ้นในตลาดแม้เพียงเล็กน้อย หรือในทางกลับกัน นักลงทุนที่มีวินัยอาจใช้ข่าวร้ายเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาลดลงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ประเมินไว้
 
4. ตลาดมักตอบสนองอย่างรุนแรงต่อ “สิ่งที่เหนือความคาดหมาย” (unanticipated)
-ข่าวดีที่ออกมาตามความคาดหมายมักไม่กระทบต่อราคาหุ้น เพราะตลาดได้สะท้อนข้อมูลเหล่านั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ คือ ข่าวที่ “เหนือความคาดหมาย” หรือ “ผิดไปจากที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้”
-JPMorgan (2023) วิเคราะห์ไว้ว่า S&P 500 แสดงความผันผวนเฉลี่ยสูงถึง 2.4% เมื่อข่าวเศรษฐกิจสำคัญมีผลต่างจากที่คาดไว้ ในขณะที่ความผันผวนเฉลี่ยจะต่ำกว่า 1% หากข่าวออกมาตามการคาดการณ์ของตลาด
-แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “ความประหลาดใจ”(Surprise Factor) มีอิทธิพลสูงกว่าตัวเนื้อหาข่าวเอง
 
5. พฤติกรรมแบบ “ฝูงชน” คือแรงเสริมให้ตลาดขยับนำหน้าข่าว
-ในตลาดการเงิน นักลงทุนจำนวนมากมักตัดสินใจตามพฤติกรรมของคนอื่น ไม่ใช่จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งนี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Herd Behavior” (ทำตามฝูงชน)
-งานวิจัยจาก IMF โดย Bikhchandani และ Sharma (2000) เรื่อง “Herd Behavior in Financial Markets: A Review” พบว่าการตัดสินใจของนักลงทุนมีแนวโน้มจะ “ตามฝูงชน” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอนขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายในทิศทางเดียวกันโดยไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลรองรับที่ชัดเจน
-และเมื่อนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเริ่มซื้อ หุ้นก็ขึ้น นักลงทุนนอกกลุ่มก็จะ “รีบตาม” เพื่อไม่ให้ตกรถ และเมื่อราคาหยุดขึ้น กลุ่มแรกอาจเริ่มขาย ทิ้งนักลงทุนที่เพิ่งเข้าตลาดไว้ข้างหลัง หลายครั้งก็กลายเป็นชาวดอย
 
บทสรุป: ตลาดมักเคลื่อนไหวล่วงหน้า เพราะสะท้อน “สิ่งที่คาด” ไม่ใช่ “สิ่งที่เกิด”
- ตลาดหุ้นจึงไม่ใช่เวทีที่รอฟังข่าวแล้วค่อยขยับ แต่เป็นเวทีที่กลุ่มผู้เล่นพยายามประเมินและวางแผนล่วงหน้า ด้วยข้อมูล เครือข่าย ความรู้ รวมถึงความกลัว ความโลภ ที่ประสานกันอย่างซับซ้อน
- หากคุณเพิ่งรู้ข่าววันนี้ นั่นอาจหมายความว่าตลาดได้สะท้อนข่าวนั้นไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็เป็นได้
 
แนวทางสำหรับนักลงทุน
-ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น: ต้องมีความเร็วทางข้อมูล และรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของตลาดก่อนข่าวสารจะออกจริง
- ถ้าคุณลงทุนระยะยาว: อย่ายึดติดกับข่าวระยะสั้น แต่ให้มองผ่าน noise เพื่อจับโอกาสในมูลค่าที่แท้จริง
-ที่สำคัญ?ต้องเข้าใจพฤติกรรมของ “คนในตลาด” ให้ลึกกว่าข่าว เพราะตลาดไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยการตีความข้อมูลของนักลงทุนด้วยกันเอง

คำเตือน :  ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน 

สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn

ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย